Tanigawadake
谷川岳 ขุนเขาแห่งสายน้ำ
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (17/10/2017) มีโอกาสได้ไปชม 紅葉 ที่ 谷川岳 (Tanigawadake) ซึ่งทริปนี้เกิดจากความลงตัวหลายๆอย่างมารวมกัน
ความลงตัวแรกคือ เวลา เพราะเดือนนี้ทั้งเดือนตารางงานแน่นเอี๊ยดเลย มีว่างอยู่ 2 วันคือ 16/10 กับ 17/10 แม้ตามสถิติจะบอกว่าใบไม้จะเปลี่ยนสีประมาณวันที่ 20/10 ก็ตาม แต่เวลาว่างมีแค่นี้ก็เลยต้องเลือกช่วงนี้ (ส่วนตัวก็เน้นที่การเดินเขาอยู่แล้ว ไม่ค่อยซีเรียสเรื่องดูใบไม้เปลี่ยนสีเท่าไหร่)
ความลงตัวที่สองคือ อากาศ เนื่องจากช่วงนี้ที่ญี่ปุ่นฝนตกยาวตลอดทั้งสัปดาห์เลย แต่ดูจากพยากรณ์อากาศแล้วฝนจะหยุดตกประมาณเช้าวันที่ 17/10 ถือว่าฟ้ายังมีความเมตตาอยู่บ้าง
เมื่อทุกอย่างลงตัวก็เตรียมออกเดินทางได้เลย (ของใช้ส่วนตัวก็แพ็คกันเองตามอัธยาศัย เพราะแต่ละคนมี lifestyle ที่ไม่เหมือนกัน)
เริ่มต้นการเดินทางที่ 八木原駅(Yagihara Station) ปลายทางอยู่ที่ 土合駅(Doai Station)
เปลี่ยนรถที่ 水上駅(Minakami Station) ระยะทางประมาณ 51.6 km ค่ารถไฟ 970 yen
เมื่อถึงสถานี Doai ทุกคนก็ได้ซ้อมปีนเขาทันที เพราะหลังจากลงจากรถไฟแล้ว ต้องเดินขึ้นบันไดไปอีก 462 ขั้น จึงจะไปถึงทางออก
นอกจากทางออกที่แสนจะน่าประทับใจแล้ว สถานีนี้ยังมีความพิเศษอีกหลายอย่าง เช่น ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ประจำสถานี (คล้ายๆกับสถานีต่างจังหวัดไกลๆ) ไม่มีที่แตะสำหรับบัตร suica (แล้วเราจะจ่ายเงินได้งัยเนี่ย) เมื่อไม่เข้าใจและทำอะไรไม่ถูกก็อาศัยเดินตามๆคนญี่ปุ่นออกไปเลย
พอออกจากสถานีแล้วหาทางไปต่อไม่เจอ จึงไปถามทางกับคนญี่ปุ่น เขาบอกว่าต้องเดินตามถนนไปอีกระยะนึง(ประมาณ 20 นาที) จึงจะถึงสถานีขึ้น ropeway ก็เลยต้องซ้อมเดินกันอีกรอบนึง
เดินมาได้ซักระยะนึง ขณะกำลังบ่นๆกันอยู่ว่าใช้เวลา 20 นาทีจริงรึ ทำไมเหนื่อยจัง ก็เริ่มมองเห็นสัญญาณของความสำเร็จ เพราะในที่สุดก็มองเห็น ropeway แล้ว
เมื่อมีความหวังจึงเกิดกำลังใจที่เดินต่อไปให้ถึงสถานี ropeway เร็วๆ แต่พอไปถึงปรากฎว่าคนต่อคิวซื้อตั๋วยาวมาก เลยตัดสินใจเข้าไปเติมพลังด้วยโซบะแสนอร่อยจากคุณป้าใจดีซะก่อน จะได้มีแรงเดินต่อ โซบะชามนี้รสชาติดีมากๆ แต่เห็นราคาแล้วคิดถึงอาหาร seven เลย (ชามละ 700 yen ซื้อ 納豆巻ได้ตั้งหลายอัน)
เมื่อเติมพลังเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาเอาจริงแล้ว ไปซื้อตั๋ว ropeway ไป-กลับ ราคา 2,060 yen ได้ตั๋วมาแล้วก็ลุยกันเลย
ขึ้น ropeway ทีไรมักจะนั่งหันหลัง ไม่ใช่เพราะกลัว แต่อยากได้มุมมองที่เหมือนกับค่อยๆลอยขึ้นข้างบน
ตอนซื้อตั๋วก็รู้สึกว่าราคาค่อนข้างแพงอยู่นะ แต่พอคิดถึงระยะทางที่ไปถึงยอดเขาแล้วรู้สึกว่าตั๋วถูกลงมาทันทีเลย ถ้าเดินเองก็คงซักครึ่งวันได้ และที่สำคัญภาพที่มองออกไปจาก ropeway เนี่ยสวยจริงๆ ประหยัดเวลาเดินแถมยังได้ชมวิวลอยฟ้าอีกด้วย
ลงจาก ropeway แล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงยอดเขาจริงๆ ต้องนั่ง Ski Lift ไปต่ออีกครั้ง (หรือจะเดินขึ้นก็ได้) ราคาตั๋วไป-กลับ 720 yen
ข้างบนนี้ก็มีร้านอาหารเหมือนกัน จะขึ้นมาทานที่ร้านข้างบนก็ได้ แต่เท่าที่สังเกตดูรู้สึกว่าคนญี่ปุ่นจะห่อข้าวขึ้นมาทานเองมากกว่า รู้สึกคิดถึงอาหาร seven อีกมาอีกแล้ว :-)
ซื้อตั๋วเสร็จก็นั่ง Ski Lift ต่อทันที อยากเห็นยอดเขาเร็วๆแล้ว
พอมาถึงยอดเขาก็เห็นป้ายเขียนว่า Tanigawadake อยู่ข้างหน้า นี่แสดงว่ายอดเขานี้ยังไม่ใช่เป้าหมายที่จะมาจริงๆ คงต้องเดินกันอีกยกนึงแล้ว
ในใจลึกๆแล้วก็อยากรู้เหมือนกันว่ายอดเขาที่อยู่ตรงหน้ามีอะไรอยู่ เห็นมีเมฆปกคลุมอยู่ดูแล้วน่าเข้าไปค้นหา ดูไกลๆ เหมือนจะมีทางเดินขึ้นไป แต่เทียบระยะทางจากที่ขึ้น ropeway มาก็น่าจะไกลพอสมควร ไม่รู้ว่าจะเดินไปทันรึเปล่า เพราะ ropeway เที่ยวสุดท้ายปิด 17.00 น. ส่วน ski lift ปิดเวลา 16.30 น. จากที่หาข้อมูลในเว็บดูพบว่า ถ้าจะเดินไปกลับ ต้องใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง
ตอนที่มาถึงยอดเขาแรกนั้นเป็นเวลา 12.00 น. แล้ว ถ้าเดินไปกลับได้ตามเวลา(5ชั่วโมง) ก็จะกลับมาถึงจุดเดิมเวลา 17.00 ซึ่งจะไม่ทัน ski lift เที่ยวสุดท้าย หากจะเดินจริงๆ จะต้องคำนวณเวลาดีๆ ไม่งั้นได้เดินลงเขาแน่ๆ
จึงปรึกษาทีมงานว่า จะใช้จุดลง ski lift เป็นจุดนัดพบ ให้ทุกคนเลือกชมบรรยากาศตามอัธยาศัย เพราะบางคนอาจจะชอบเดิน บางคนอาจจะชอบถ่ายภาพ หรือบางคนอาจจะชอบสัมผัสบรรยากาศพิเศษๆ จะทำอะไรก็ได้ แต่ต้องกลับมาจุดนัดพบภายใน 15.45 น.
ใช้เวลานัดแนะวางแผนกันประมาณ 15 นาที จากนั้นก็เริ่มเคลื่อนพลตามอัธยาศัย
พอแยกตัวกับหมู่คณะเสร็จ คำถามในใจก็ผุดขึ้นมาอีกว่า "บนยอดเขานั้นมีอะไรน้า อยากรู้จัง" ลองเดินไปดูดีกว่า เดินได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น คิดว่ายังงัยก็กลับมาทันเวลานัดพบอยู่แล้ว จำได้ว่าตอนเช็คแผนที่ดู จะมีกระท่อมอยู่ระหว่างทาง อย่างน้อยๆ เดินไปให้ถึงกระท่อมนั้นแล้วค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะเดินต่อหรือวกกลับ
ตัดสินใจอย่างนี้แล้วก็เดินเลยดีกว่า (มีพลังพิเศษบอกว่าให้เดินไปดู แล้วจะเจอของดี)
เนื่องจากก่อนหน้านี้ฝนตกติดต่อกันหลายวัน เส้นทางเดินเขาค่อนข้างทุลักทุเลพอสมควร ต่อให้ฝนไม่ตกก็ยังเดินยากเลย เพราะมีแต่หิน และทางก็ค่อนข้างชัน นี่เจอฝนตกซ้ำเข้าไปอีกทั้งเลอะทั้งลื่นเลยงานนี้ แต่ตัดสินใจเดินมาแล้วก็ต้องเดินต่อไป เดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอป้ายบอกทางป้ายแรก
เจอป้ายนี้ยิ่งเพิ่มความมั่นใจว่าเดินตรงไปเรื่อยๆจะเป็นยอดเขา (ลืมเรื่องเวลากับระยะทางไปเลย) แถมเส้นทางข้างหน้ามีคนทำบันไดไว้ให้อีก น่าจะเดินง่ายกว่าเดิม ไม่ต้องคิดมากแล้ว เดินต่อไปเลย :-)
รู้สึกว่าจะไม่ใช่แค่บันไดแล้ว มีปีนเชือกอีก แต่สบายอยู่แล้ว เพราะเคยซ้อมปีนมาก่อน ห้าห้า
ส่วนนึงที่ทำให้การเดินครั้งนี้มีรสชาติคือ ความสวยงามของบรรยากาศรอบๆตัว อดไม่ได้ที่จะต้องถ่ายภาพเก็บไว้ ซึ่งการถ่ายภาพนี้นอกจากจะได้เก็บบรรยากาศดีๆเอาไว้ แล้วยังเป็นโอกาสในการหยุดพักด้วย
ยิ่งถ่ายภาพเยอะก็แสดงว่าหยุดพักบ่อย ห้าห้า เข้าใจแล้วว่าระยะทางแค่นี้ทำไมต้องเดินถึงห้าชั่วโมง
ยิ่งเดินขึ้นมาสูง ลมก็ยิ่งแรง แต่ภาพบรรยากาศรอบตัวก็สวยขึ้น แน่นอนก็ต้องหยุดพักเพื่อถ่ายรูปมากขึ้นด้วย
มาถึงตรงนี้ไม่สนใจเรื่องเวลาแล้ว ขอขึ้นไปแตะขอบฟ้าซะหน่อยแล้วกัน อยากรู้จริงๆว่าบนยอดเขามีอะไรอยู่
เจอกระท่อมสองหลังแล้วแต่ยังไม่หยุดเดิน เพราะรู้สึกอยากไปให้ถึงข้างบน แต่ตอนนี้เริ่มคิดเรื่องเวลาแล้ว เพราะถ้ากลับไม่ตรงเวลาจะเป็นภาระกับคนอื่น จะทำอะไรก็ต้องรีบแล้วเวลาไม่คอยท่า เดินไปเรื่อยๆก็เจอกับการตัดสินใจที่ต้องเลือกว่าจะไปซ้ายหรือขวาดี
แล้วก็ตัดสินใจเลือกไปทางขวา เพราะใช้เวลาน้อยกว่า คิดเผื่อว่าต้องกลับไปให้ทันเวลานัดพบด้วย แล้วในที่สุดก็พบคำตอบว่า บนยอดเขามีอะไร
ลมก็แรง อากาศก็หนาว คิดอะไรไม่ออกเลย ดูบรรยากาศรอบๆตัวแล้ว มีคำตอบเดียวคือ รีบลงข้างล่างดีกว่า เพราะคนอื่นๆ ก็ทยอยลงกันหมดแล้ว
ตอนลงเนี่ยเร็วกว่าเดิม เพราะนอกจากมีแรงโน้มถ่วงช่วยดึงลงแล้ว ยังต้องรีบเดินแข่งกับเวลาอีกด้วย
ขากลับเดินสปีดเต็มที่แล้ว แต่ก็ไม่ทันเวลานัดอยู่ดี ไปถึงจุดนัดพบเวลา ประมาณ 16.00น. ปรากฎว่าทีมงานบางส่วนยังเดินมาไม่ถึงคิดว่าชุดนั้นคงจะเดินลงไปที่จุด ropeway เลย รอจนกระทั่ง lift เที่ยวสุดท้ายคือ 16.30น. ยังไม่เห็นมา จึงตัดสินใจไปวางแผนใหม่ที่จุด ropeway ทีเดียวเลย
รอที่ ropeway station ซักพักทีมงานทุกคณะก็กลับมารวมตัวกันโดยสวัสดิภาพ มีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นอยู่บ้าง แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ถือว่าครั้งนี้ทุกคนเบิกบานใจกันถ้วนหน้า
Comments
Post a Comment